วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โพลชี้นักการเมืองยังสำคัญในระบอบประชาธิปไตย


เอแบคโพลชี้ "สื่อดี การเมืองดี ประชาชนมีสุข" ผลวิจัยข้อมูลกลุ่ม ปชช. อายุ 18 ปี ส่วนใหญ่ร้อยละ 91.8 อยากเห็นการทำหน้าที่ สื่อสารเพื่อลดความขัดแย้ง สร้างความสงบสุขของบ้านเมือง ไม่วุ่นวาย และนักการเมืองยังคงมีความสำคัญมากถึงมากที่สุด...
เมื่อวันที่ 29 ส.ค. นายนพดล กรรณิกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา กระทรวงวัฒนธรรม และประธานเครือข่ายวิชาการทำประชาพิจารณ์และสาธารณมติเพื่อนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดโครงการวิจัย “สื่อดี การเมืองดี ประชาชนมีสุข” โดยกล่าวว่า จากการศึกษาด้านการเขียนยุทธศาสตร์และการบริหารจัดการนโยบายสาธารณะที่มหาวิทยาลัยจอร์ชทาวน์ (Georgetown University) วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ในขณะนี้ได้พบกับเครือข่ายวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อทำประชาพิจารณ์และสาธารณมติเพื่อนโยบายสาธารณะ ที่คณาจารย์ในสถาบันการศึกษาต่างๆ ร่วมมือกันทำหน้าที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ในการขับเคลื่อนสังคม ระหว่างสถาบันการศึกษา สาธารณชน สื่อและการเมือง เพื่อนำไปสู่การหนุนเสริมสื่อเชิงสร้างสรรค์เชื่อมโยงความสัมพันธ์ รักษาวัฒนธรรมอันดีงามต่อกันในหมู่ประชาชนทั้งในและต่างประเทศ บนพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทุกหมู่เหล่า และระบอบประชาธิปไตยที่เป็นสากลของประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก
นายนพดล กล่าวต่อว่า ผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง เสียงสะท้อนของสาธารณชนต่อสถานการณ์ปัญหาบ้านเมืองของประเทศในปัจจุบันกับบทบาทของสื่อและนักการเมือง ในระบอบประชาธิปไตย เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา นครปฐม สมุทรปราการ อุตรดิตถ์ ลำปาง เชียงราย มุกดาหาร หนองคาย สกลนคร ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์ เลย ยะลา นราธิวาส และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 2,267 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 15–28 ส.ค. 2556 ที่ผ่านมา โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น ที่สุ่มเลือกจังหวัด อำเภอ ตำบล ชุมชน ครัวเรือน และประชาชน ที่ตอบแบบสอบถามระดับครัวเรือน ความคลาดเคลื่อนร้อยละ 7 พบว่า
เมื่อถามถึง สถานการณ์ปัญหาสำคัญมากที่สุดของบ้านเมืองขณะนี้ พบว่า ร้อยละ 48.2 ระบุ ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง และค่าครองชีพ รองลงมาคือ ร้อยละ 36.7 ระบุปัญหาสังคม อาชญากรรม ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหาคุณภาพเด็กและเยาวชน ในขณะที่ร้อยละ 15.1 ให้ความสำคัญกับปัญหาการเมือง ความวุ่นวายทางการเมืองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามถึง ความสำคัญของสื่อสาธารณะในระบอบประชาธิปไตย พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.9 ระบุ สำคัญมากถึงมากที่สุด ในขณะที่ร้อยละ 17.1 ระบุสำคัญน้อยถึงไม่สำคัญเลย โดยประเภทของสื่อสาธารณะที่สำคัญที่สุดต่อสถานการณ์ปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้ พบว่า สื่อยุคใหม่ ได้แก่ ไลน์ (LINE)  ยูทูบ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม และเว็บไซต์ต่างๆ เป็นต้น รองลงมาคือ ร้อยละ 21.5 ระบุเคเบิลทีวี ร้อยละ 20.5 ระบุฟรีทีวี โทรทัศน์ช่อง 3 5 7 9 11 และทีวีไทย ในขณะที่ร้อยละ 10.8 ระบุเป็นหนังสือพิมพ์ และร้อยละ 7.3 ระบุเป็นวิทยุ ตามลำดับ นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 84.6 ยอมรับว่า สื่อต่างๆ มีบทบาทมากถึงมากที่สุดในการทำให้บ้านเมืองมั่นคง สงบสุขหรือวุ่นวาย สร้างปัญหาเดือดร้อนต่อประชาชนได้
เมื่อวิเคราะห์ถึงหน้าที่สำคัญของสื่อสาธารณะที่ประชาชนอยากเห็นในสถานการณ์ ปัญหาบ้านเมืองขณะนี้ พบว่า ส่วนใหญ่หรือ ร้อยละ 91.8 อยากเห็นการทำหน้าที่สื่อสารเพื่อลดความขัดแย้ง สร้างความสงบสุขของบ้านเมือง ไม่วุ่นวาย รองลงมาคือ ร้อยละ 87.5 อยากเห็นการสื่อสารเพื่อความปลอดภัยแก่เด็ก เยาวชน และประชาชนทุกหมู่เหล่า ร้อยละ 84.6 อยากเห็นการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ บนความเป็นจริง ใช้เหตุใช้ผล ลดถ้อยคำปั่นอารมณ์ความเครียดแค้นต่อกันในหมู่ประชาชน ร้อยละ 83.3 อยากเห็นการสื่อสารเพื่อรักษาวัฒนธรรมอันดีงามในหมู่ประชาชน และร้อยละ 80.1 อยากเห็นการสื่อสารเพื่อช่วยขจัดคนโกง รักษาคนทำดีได้ดีมีที่ยืนในชุมชนและสังคม ที่น่าพิจารณาคือ เกินครึ่ง หรือร้อยละ 51.2 ระบุทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านยังทำได้ไม่ดีในการสื่อสารลดความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ในขณะที่เพียงร้อยละ 23.9 ระบุทำได้ดีทั้งสองฝ่าย ร้อยละ 15.7 ระบุพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลทำได้ดีกว่า และร้อยละ 9.2  ระบุฝ่ายค้านทำได้ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.7 ระบุนักการเมืองยังคงมีความสำคัญมากถึงมากที่สุดในระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่ร้อยละ 31.3 ระบุมีความสำคัญน้อยถึงไม่สำคัญเลย ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.1 ยังคงเชื่อมั่นมากถึงมากที่สุดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยถึงแม้บ้านเมืองจะมีปัญหาวุ่นวายเพียงไร ในขณะที่ร้อยละ 17.9 เชื่อมั่นน้อยถึงไม่เชื่อมั่นเลย และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.4 ยังคงให้โอกาสรัฐบาลทำงานต่อไป
ดร.นพดล กรรณิกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา กระทรวงวัฒนธรรมและประธานเครือข่ายวิชาการทำประชาพิจารณ์และสาธารณมติเพื่อนโยบายสาธารณะ กล่าวว่า การสื่อสารในยามที่บ้านเมืองกำลังมีปัญหารอบด้านเป็นเรื่องสำคัญของทุกคนใน ชาติจึงจำเป็นต้องวางยุทธศาสตร์การสื่อสารที่ดีโดยเริ่มจากการจัดลำดับความสำคัญ เพื่อรักษาจุดแข็งและโอกาสของประเทศและประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเอาไว้  จะพบว่าผลวิจัยชี้ให้เห็นว่า สื่อสาธารณะมีบทบาทสำคัญที่จะทำให้บ้านเมืองมั่นคงสงบสุข หรือวุ่นวาย สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนในวงกว้างได้  จึงต้องสร้างความเชื่อมโยงที่เข้มแข็งจากแหล่งข้อมูลของกลุ่มบุคคลในสังคม ต้องชัดเจนด้วยถ้อยคำเรียบง่าย โดยหลีกเลี่ยงถ้อยคำที่ตีความกันได้หลายมิติ ไปยังสื่อสาธารณะและประชาชนในวงกว้าง คำนึงถึงความปลอดภัยและมั่นคงของสาธารณชน เพราะความล้มเหลวในการสื่อสารกับสาธารณชน จะเป็นการเติมไฟแห่งความรุนแรงและความวุ่นวายเสียหายต่อประเทศชาติ และประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศได้
ในขณะที่กลุ่มคนเพียงหยิบมือเดียวจะได้ประโยชน์มหาศาลจากความวุ่นวายของบ้านเมือง ดังนั้น ทางออกของประเทศคือ ประการแรก ผู้นำประเทศ ผู้ใหญ่ในสังคมและประชาชนทั่วไปมีโอกาสได้เรียนรู้บทเรียนความเสียหาย ความเดือดร้อนในอดีตเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดซ้ำซากที่เคยเกิดขึ้นจากการ ตัดสินใจของกลุ่มแกนนำและผู้ใหญ่ในสังคมบางคนที่มุ่งหวังผลประโยชน์ส่วนตัว และพรรคพวกบนซากปรักหักพังของบ้านเมืองและความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ประการที่สอง รัฐบาลและผู้ใหญ่ในสังคมต้องแสดงความชัดเจนในการสร้างความเป็น “หุ้นส่วนกัน (Partnership)” ระหว่างรัฐบาล ฝ่ายค้าน สื่อสาธารณะ ผู้มีบารมีในสังคม เจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มนายทุน และประชาชนทุกหมู่เหล่า เพราะความเป็นหุ้นส่วนกันจะต้องแบ่งปันข้อมูลความเป็นจริงและเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการทำหน้าที่รักษาความสงบสุขของชุมชนและสังคมโดยส่วนรวม ไม่ปิดกั้นแบ่งแยกชนชั้น
โดยผลที่ตามมาคือ การเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ลดเงื่อนไขแห่งความขัดแย้ง ลดช่องว่างของข้อมูลข่าวสาร และเพิ่มความวางใจต่อกัน ประการที่สาม รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐในฐานะที่มีอำนาจในมือขณะนี้ ต้องทำให้หุ้นส่วนของตนเอง ทั้งสื่อมวลชนและประชาชนทุกหมู่เหล่าเห็นชัดเจนจับต้องได้ว่า เมื่อวางใจทำตามแนวทางของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว หุ้นส่วนอื่นๆ ในประเทศบรรลุเป้าหมายและความสงบสุขโดยเร็ว ยิ่งทำได้เร็วเท่าไหร่ ยิ่งจะทำให้ความเสี่ยงต่อการสูญเสียและความวุ่นวายต่างๆ ก็จะลดน้อยลงไปได้อย่างมากตามนั้น
ทั้งหมดนี้คือ กรอบแนวคิดเบื้องต้นที่กลั่นกรองจากข้อมูลวิจัยโครงการ “สื่อดี การเมืองดี ประชาชนมีสุข” โดยโครงการวิจัยดังกล่าวเปิดกว้างยินดีต้อนรับสมาชิกเครือข่ายวิชาการ เพื่อประชาพิจารณ์และสาธารณมติได้ที่.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น