วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

รวยแล้วไม่ผิด!? อีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่คดีทายาทกระทิงแดง



ช่วงนี้มีข่าวอุบัติเหตุร้ายแรงบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเดือนที่ผ่านมา ได้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับรถตู้โดยสาร(เถื่อน) ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 9 ศพ แม้จะเกิดเหตุเลวร้ายบ่อยครั้ง แต่กลับไร้การเหลียวแล และการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ด้วยเหตุดังกล่าว ส่งผลให้ประเทศไทยติดอันดับที่ 3 ของโลก ที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนต่อไป  อย่างไรก็ตาม ในวันนี้( 3 ก.ย.) ของปีที่แล้ว  เมื่อเวลาประมาณ 05.40 น. ได้เกิดอุบัติเหตุใหญ่ กลางเมืองกรุง จนเป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้า 1 นสพ.ทุกฉบับ คดีดังกล่าวทำให้ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่ ป. สน.ทองหล่อ เสียชีวิตคาเครื่องแบบตำรวจ ในสภาพน่องข้างซ้ายฉีกขาดถึงกระดูก คาถนนย่านสุขุมวิท ในที่เกิดซอยสุขุมวิท 47 ยังพบป้ายทะเบียนรถ จยย.ตราโล่ 51511 ตกอยู่ ส่วนรถ จยย.ไทเกอร์ของดาบตำรวจ ล้มอยู่หน้าปากซอยสุขุมวิท 49 ห่างจากจุดพบศพไปประมาณ 200 เมตร   ด้านผู้เห็นเหตุการณ์ระบุชัดว่ารถที่ก่อเหตุ คือ รถหรูม้าลำพอง "เฟอร์รารี่" สีบรอนซ์เทา วิ่งมาด้วยความเร็วพุ่งชน ด.ต.วิเชียรอย่างแรง จนมีการลากรถจยย. ของผู้เสียชีวิต ขณะที่คนขับพยายามหักพวงมาลัยส่ายไปมากระทั่งผู้ตายกระเด็นหลุดมานอนแน่นิ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่พบคราบน้ำมันบนพื้นเป็นทางยาวไปสุดถึงปากซอยสุขุมวิท 53 ที่หน้าบ้านเลขที่ 9 ซึ่งเป็นบ้านหลังโต บนเนื้อที่ 2 ไร่ มีรั้วรอบขอบชิดสูง 3 เมตร ติดตั้งประตูเหล็กแน่นหนา ที่สำคัญเจ้าของบ้านหรูดังกล่าว ก็เป็นนักธุรกิจรวยระดับโลก "เฉลิม อยู่วิทยา" เจ้าของเครื่องดื่มกระทิงแดง ผู้สานต่อมรดกธุรกิจระดับมหาเศรษฐีติดอันดับโลกจาก "เฉลียว อยู่วิทยา" บิดาที่ล่วงลับ    หลังเกิดเหตุ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พร้อมกำลัง 2 กองร้อย ได้ตามไปล้อมบ้านดังกล่าว พร้อมกับให้สัมภาษณ์ด้วยท่าทีขึงขังว่า "หากไม่ได้ตัวคนผิดมาลงโทษ จะขอลาออกทันที" หลังให้สัมภาษณ์เสร็จสิ้น บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่หน้าบ้านเจ้าของเครื่องดื่มกระทิงแดงต่างปรบมือดังลั่นที่เห็น ผบช.น.เอาจริงเอาจัง  หลังจากยืนล้อมบ้านอยู่นานก็ได้รับหมายค้นจากศาลอาญา ได้เข้าพิสูจน์หลักฐานภายในบ้าน ซึ่งพบรถคันก่อเหตุจอดทิ้งชั้นใต้ดินของบ้าน สภาพรถเฟอร์รารี รุ่นพินินฟาริน่า สีบรอนซ์เทา ทะเบียน ญญ 1111 กรุงเทพมหานคร แต่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน กันชนหน้าซ้ายแตก กระจกหน้าฝั่งซ้ายแตกเป็นวงกว้าง มีเครื่องหมายยศนายดาบตำรวจของผู้ตายติดคากระจกด้วย และจากการตรวจสอบสมุดจดบันทึกของ รปภ.ระบุเมื่อเวลา 05.12 น. ได้มีการจดบันทึกไว้ว่า "น้องบอส" ขับรถออกจากบ้านอีกด้วย ทำให้ตำรวจมั่นใจว่า โชเฟอร์หนุ่มรายนี้น่าจะเป็น นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา อายุ 27 ปี หนุ่มนักเรียนนอกจากอังกฤษ ลูกชายคนเล็ก ของนายเฉลิมแน่นอน  ในขณะเรื่องราวกำลังดำเนินอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น!! เมื่อ พ.ต.ท.ปัณณ์ณภณ นามเมือง สวป.สน.ทองหล่อ (ในขณะนั้น) กลับสร้างเรื่องด้วยการพา นายสุเวศ หอมอุบล อายุ 45 ปี พ่อบ้านที่มีหน้าที่ดูแลรถบ้านเจ้าสัวตระกูลดัง เข้าไปมอบตัวพนักงานสอบสวนที่โรงพัก และสมอ้างเป็นผู้ขับรถเก๋งเฟอร์รารีพุ่งชน ตำรวจเสียชีวิตเอง แต่พอนำตัวไปตรวจร่องรอยคาดเข็มขัดนิรภัย และรอยอัดกระแทกของรถตามร่างกายแล้วไม่พบ นายสุเวศถึงยอมจำนนว่า ไม่ได้เป็นคนขับจริง เพียงแค่มารับหน้าแทนลูกเจ้านาย สร้างความไม่พอใจแก่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.เป็นอย่างมากถึงขนาดมีคำสั่งให้ดำเนินคดีข้อหาแจ้งความอันเป็นเท็จ รวมถึงเซ็นคำสั่งเด้ง พ.ต.ท.ปัณณ์ณภณ ไปช่วยราชการ บช.น.เป็นเวลา 30 วันทันที จากนั้นได้มีการให้ออกจากราชการไว้ก่อน เนื่องจากมีความผิดวินัยร้ายแรง     “ที่ผมไม่พอใจก็เพราะไปเอาตัวปลอมมามอบตัว ส่วนคนที่ขับรถชนตำรวจตัวจริงยังลอยนวลอยู่ ผมทราบดีว่า สวป.คนดังกล่าว ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยให้กับบ้านของลูกชายอดีตเจ้าสัวกระทิงแดง แต่ทำงานแบบนี้ใช้ไม่ได้” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว    เมื่อถูกกดดันอย่างหนัก สุดท้าย ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังก็ยอมโผล่มอบตัว พร้อมให้การภาคเสธรับว่า ขับรถสปอร์ตประสบอุบัติเหตุจริง แต่รถ จยย.ของผู้ตายขี่ปาดหน้าทำให้หักหลบไม่ทัน หลังสอบปากคำ "ไฮโซนักซิ่ง" ผ่านพ้นไปราว 6 ชั่วโมง ตำรวจได้นำตัวไปตรวจร่างกาย ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ รพ.สมิติเวช แทน รพ.ตำรวจ เพราะเห็นว่าอยู่ไม่ไกลจากโรงพัก ก่อนเดินทางกลับมาทำเรื่องขอประกันตัว ใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท ซึ่งพนักงานสอบสวนอนุญาตให้ประกันตัว   ทั้งนี้ หลังการสอบสวนเบื้องต้น ได้มีการตั้งข้อหนักคือ ขับรถเร็วเกินกว่าที่อัตรากฎหมายกำหนด ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและไม่หยุดรถให้การช่วยเหลือตามสมควร แต่จากนั้น 2 วัน ผลเลือดก็ออก ผลปรากฎว่ามีแอลกอฮอล 64.8 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเกินกฎหมายกำหนด แต่ทางทนายได้อ้างว่า ไฮโซหนุ่มได้ดื่มทีหลัง เพราะเกิดความเครียดหลังเกิดเหตุ   อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ได้นัดหมายให้ผู้ต้องหามารับทราบข้อหาเพิ่มเติม แต่ระหว่างนั้น แพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี ก็รายงานผล ตรวจเลือดของไฮโซหนุ่มว่า นอกจากพบปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย 64 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์แล้ว ยังพบสารอื่นๆ ที่เป็นส่วนประกอบในยาเสพติดและยานอนหลับ อีกอย่างน้อย 3 ชนิด คือ โคเคน, กาเฟอีน และอัลปราโซแลม (ยาในกลุ่มเบนโซดายเซปไปน์) ซึ่งทางตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ ขณะเดียวกัน ทางพนักงานสอบสวนก็ได้มีการนัดหมายให้มารับทราบข้อหาเพิ่มเติมอีกหลายครั้ง แต่ไฮโซนักซิ่งก็เบี้ยวนัดอย่างต่อเนื่อง  กระทั่งวันที่ 31 ต.ค. พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. ได้เปิดเผยว่า "นายวรยุทธ ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อหาเพิ่มเติมแล้ว คือ เมาแล้วขับ ส่วนผลการตรวจสอบสารเสพติดในร่างกายขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ โดยได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนไปสอบปากคำแพทย์ หากมีความเห็นเป็นอื่น ก็จะสั่งให้กำเนินคดีทันที"    เมื่อไฮโซหนุ่มเข้ารับทราบข้อหาแล้ว จึงถือเป็นหน้าที่ของ "ตำรวจ" ที่จะดำเนินการต่อ ซึ่งทางพนักงานสอบสวน ได้มีความเห็นส่งฟ้อง 2 ข้อหาหนัก คือ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน และมีความเห็นไม่ฟ้อง 2 ข้อหา คือ ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนดเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และขับรถโดยขณะมึนเมา  จากนั้นกระบวนการยุติธรรมก็ได้เดินหน้าต่อ มาถึงวันที่ 4 เม.ย.56 พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาใต้1 ได้นัดฟังคำสั่ง โดยอัยการพิจารณาแล้ว "เห็นควรให้ฟ้อง" ความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนดฯ อีก 1 ข้อหา เนื่องจากหลักฐานจากกล้องวงจรปิดสามารถจับภาพได้และผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่ามีความเร็วสูงถึง 170 กม.ต่อชั่วโมง  "ในข้อหาขับรถในขณะมึนเมาสุรานั้นมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเช่นเดียวกับหนักงานสอบสวน เพราะแม้ผลตรวจแอลกอฮอล์เกิน ก็ระบุไม่ได้ว่า ดื่มก่อนขับหรือหลังขับ ทั้งที่เจาะเลือดในช่วงบ่าย" นายฤชา ไกรฤกษ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กล่าว  อย่างไรก็ดี แม้จะมีคำสั่งดังกล่าว แต่ทีมทนายของทายาทกระทิงแดงก็ได้ขอเลื่อนนัดอย่างต่อเนื่องถึง 5 ครั้ง โดยมีการร้องขอความเป็นธรรมประเด็นขับรถเร็วเกินอัตรากฎหมายกำหนด ขอให้สอบพยานเพิ่มเติม 4 ปาก และ มีการอ้างเรื่องการป่วย โดยมีใบรับรองแพทย์ยืนยัน เมื่อวันที่ 26 ส.ค. จึงได้มีการนัดฟังคำสั่งอีกครั้งในวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่แล้วก็มีการขอเลื่อนอีก ส่งผลให้คดีขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดฯ ซึ่งเป็นความผิดลหุโทษมีอายุความ 1 ปี หมดอายุความในวันที่ 3 ก.ย. เพราะไม่สามารถนำตัวไปฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ทัน    เมื่อผลคดีออกมาในรูปแบบนี้ ทางอัยการจึงลงความเห็นว่ามีพฤติการหลบหนี และเตรียมการขอออกหมายจับ     "อัยการได้ร่างคำฟ้องไว้พร้อมแล้วทุกข้อหา แต่เมื่อหมดอายุความก็จะแก้คำฟ้องคงเหลือ 2 ข้อหาหลัก โดยบรรยายว่าเป็นผลจากการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดฯ  ทั้งนี้ จะทำหนังสือเสนอนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ เพื่อให้พิจารณามีคำสั่งว่าจะให้นำตัวมาฟ้อง 2 ข้อหาที่เหลือเมื่อใด ซึ่งในการฟ้องคดี อัยการจะระบุท้ายฟ้องด้วยว่าขอคัดค้านการให้ประกันตัวผู้ต้องหา เนื่องจากเห็นว่ามีพฤติการณ์หลบหนีเลื่อนนัดอัยการหลายครั้ง อัยการจะแจ้งพนักงานสอบสวนขออนุมัติหมายจับนายวรยุทธ วันพรุ่งนี้ (3 ก.ย.) เพื่อติดตามตัวมาส่งฟ้องข้อหาที่เหลือ หากออกหมายจับแล้ว เมื่อพบผู้ต้องหาที่ใดก็สามารถจับกุมตัวได้ทันที" นายฤชา กล่าว  คดีนี้ยังคงเดินหน้าต่อ แม้จะผ่านมาแล้ว 1 ปี สังคมยังเกิดข้อกังขา ทั้งการยังไม่ส่งฟ้องข้อหา "เมาแล้วขับ" ทั้งที่ผลตรวจแอลกอฮอล์ในร่างกายเกินกว่ากฎหมายกำหนด คดีขับรถเร็วฯ ที่หมดอายุความ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องสารบางอย่างที่อยู่ในร่างกายที่มีการตรวจพบและไม่กล่าวถึงอีก สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเขาคือ "ทายาทเศรษฐีระดับโลก" หรือเปล่า!? เรื่องนี้ต้องรอพิสูจน์กันต่อไป


รองเท้าผ้าใบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น